หากจะกล่าวถึงศิลปะในยุคกลางอังกฤษ ใครๆ ก็คงนึกถึงภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังในโบสถ์ หรือกระจกสีอันวิจิตรบรรจง แต่รู้หรือไม่ว่าศิลปะในสมัยนั้นยังครอบคลุมไปถึงการบันทึกประวัติศาสตร์ด้วยเช่นกัน “The Doom Book” หรือที่เรียกว่า Domesday Book เป็นตัวอย่างหนึ่งของศิลปะการบันทึกประวัติศาสตร์ ที่สะท้อนถึงความเป็นอารยธรรมและระบบการปกครองของอังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 11
“The Doom Book” ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1086 ภายใต้คำสั่งของ William the Conqueror กษัตริย์ผู้พิชิตชาวนอร์มังดี ซึ่งต้องการสำรวจและประเมินทรัพย์สินที่ดินทั้งหมดในอังกฤษ เพื่อการจัดเก็บภาษีอย่างเป็นระบบ และเพื่อความมั่นคงทางการเมือง
โครงสร้างและเนื้อหาอันทรงคุณค่า
“The Doom Book” ไม่ใช่หนังสือตามแบบฉบับที่เราใช้กันทุกวันนี้ แต่เป็นเอกสารขนาดใหญ่ มี 2 เล่ม หนา 1.4 เมตร และยาว 0.9 เมตร เขียนด้วยหมึกสีดำบนกระดาษแกะ
เนื้อหาภายใน “The Doom Book” ถูกจัดแบ่งตามเคาน์ตีต่างๆ
- รายชื่อเจ้าของที่ดิน
- ประเภทและขนาดของที่ดิน
- จำนวนประชากร
- มูลค่าของทรัพย์สิน
- สิทธิและหน้าที่ของเจ้าของที่ดิน
จากการสำรวจที่ดินครั้งนี้ William the Conqueror ได้รับข้อมูลสำคัญมากมายเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในอังกฤษ
ความสำคัญทางประวัติศาสตร์
“The Doom Book” เป็นแหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์อันล้ำค่าของอังกฤษ โดยให้ข้อมูลที่ละเอียดและครอบคลุมเกี่ยวกับสภาพสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ในยุคศตวรรษที่ 11
- การวิเคราะห์โครงสร้างสังคม: “The Doom Book” แสดงถึงระบบชนชั้นในสังคมอังกฤษ ซึ่งแบ่งเป็นขุนนาง ข Gie และไพร่
- การศึกษาเศรษฐกิจ: จากข้อมูลเกี่ยวกับที่ดินและทรัพย์สินต่างๆ เราสามารถวิเคราะห์ได้ว่าเศรษฐกิจของอังกฤษในยุคนั้นขึ้นอยู่กับการเกษตรเป็นหลัก
- ความเข้าใจการปกครอง: “The Doom Book” บ่งบอกถึงระบบการปกครองแบบศักดินา ซึ่งกษัตริย์ถือเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด
มรดกทางวัฒนธรรม
“The Doom Book” ยังคงได้รับการอนุรักษ์อย่างดี และจัดแสดงอยู่ใน The National Archives ในลอนดอน เอกสารชิ้นนี้เป็นสัญลักษณ์ของอารยธรรมอังกฤษในยุคกลาง และเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญ
นอกจากนั้น “The Doom Book” ยังได้มีอิทธิพลต่อการพัฒนานิเวศวิทยาและการทำสำมะโนประชากรสมัยใหม่
ประเภทข้อมูล | รายละเอียด |
---|---|
เจ้าของที่ดิน | ชื่อ และตำแหน่ง |
ประเภทที่ดิน | ป่า, ทุ่งนา, สวน |
จำนวนประชากร | แสดงจำนวนครัวเรือน |
มูลค่าทรัพย์สิน | คำนวณตามขนาดและประเภทของที่ดิน |
“The Doom Book” เป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของการผสมผสานระหว่างศิลปะการบันทึกประวัติศาสตร์ และความเป็นอารยธรรมในยุคกลางอังกฤษ เป็นเครื่องเตือนใจว่าความรู้สามารถเกิดขึ้นได้จากแหล่งข้อมูลที่ไม่น่าคาดคิด